หลังจากที่ Edward กลับมา Bella ก็ไปขลุกอยู่กับครอบครัว Cullen แทบจะตลอดเวลา จน Charlie พ่อของ Bella ต้องบอกให้ Bella ไปเจอกับ Jacob บ้าง เพราะ Jacob คงกำลังเศร้ามาก ที่ต้องทำใจเรื่องเธอกับ Edward
ในขณะเดียวกัน ก็เกิดกองทัพ Newborn Vampires ขึ้นที่ Seattle ประกอบกับมีแวมไพร์แอบเข้ามารื้อห้อง Bella และขโมยเสื้อของเธอไป เพื่อเอาเสื้อใช้จำกลิ่นของเธอ Bella รู้ว่ากองทัพแวมไพร์เป็นฝีมือของ Victoria แต่ครอบครัว Cullen กลับคิดว่าเป็นอาจจะเป็น The Volutri เพราะเธอยังไม่ได้เปลี่ยนเป็นแวมไพร์หลังจากทราบเรื่องราวของ The Volutri ในฐานะมนุษย์ เธอกลัวมากจึงขอให้ Edward เปลี่ยนเธอให้เป็นแวมไพร์โดยเร็ว แต่ Edward ต้องการให้เธอแต่งงานกับเขาก่อน Bella จึงลังเลใจ
ต่อมาครอบครัว Cullen และฝูงมนุษย์หมาป่า ก็ร่วมมือกันคอยดูแล Bella และคิดแผนขึ้นมาเพื่อรับมือกับฝูงแวมไพร์เกิดใหม่ โดย Jasper เป็นผู้ฝึกฝนวิธีการต่อให้ทุกคนสู้กับฝูงแวมไพร์เกิดใหม่ ส่วน Bella ก็ต้องการจะมีส่วนร่วมแต่ถูก Edward ห้ามไว้ Bella จึงขอให้ Edward อยู่กับตนเองและไม่ไปร่วมสู้กับทุกคน Edward ตกลง
เมื่อเช้าวันต่อสู้มาถึง Jacob ได้ยินเรื่องที่ Bella กับ Edward พูดกันเรื่องเวลาที่ดีที่สุดของทั้งสองคน และเรื่องแต่งงาน ทำให้ Jacob เสียใจมากและหนีไป Edward อาสาไปตามหา Jacob ให้ Jacob กลับมาและบอกกับ Bella ว่าจะไปสู้จนตาย Bella ตกใจมากและห้ามไม่ Jacob ไป โดยจะทำตามที่ Jacob ต้องการ นั่นคือ จูบ เมื่อ Bella จูบ Jacob แล้ว ทำให้เธอรู้ตัวว่าเธอก็รัก Jacob เช่นเดียวกัน (ทั้ง Jacob และ Edward นั้นรู้อยู่แล้ว) Jacob ดีใจมากที่เธอรู้ใจตัวเอง แต่ก็ยังไปร่วมสู้กับทุกคนอยู่ดี โดยเขาสัญญากับ Bella ว่าจะกลับมา
ระหว่างที่มีการต่อสู้อยู่นั้น Victoria กับ Riley ก็มายังเต้นท์ที่พักแรมของ Edward และ Bella ทำให้ Edward รู้ว่า Victoria ตามกลิ่นของเขามา และรู้ว่า Bella ต้องอยู่ข้างๆเขา การต่อสู้เกิดขึ้น Victoria และ Riley ตาย ทุกคนปลอดภัย แต่อีกด้านนึงนั้น Jacbb กลับบาดเจ็บจากการเข้าไปช่วยเพื่อน Bella กระวนกระวายใจมาก เมื่อเธอได้ไปเยี่ยม Jacob ทั้งคู่ก็ได้ปรับความเข้าใจกัน Jacob ยอมรับความพ่ายแพ้ เพราะ Bella เลือก Edward
Bella ยอมจัดงานแต่งงานที่ใหญ่โตกับ Edward และการ์ดเชิญงานแต่งงานก็ถูกส่งมายัง Jacob ทำให้ Jacob เสียใจ เพราะยังทำใจไม่ได้ และเปลี่ยนร่างเป็นหมาป่า และหายตัวไป
Twilight กำกับโดย แคทธาลีน ฮาร์ดวิค (Thirteen, Lords of Dogtown) จากบทภาพยยตร์ของ เมลิซซ่า โรเซนเบิร์ค (Step Up, "Dexter") อำนวยการสร้างโดย กอร์ดอน ก๊อดฟรีย์ (I, Robot; The Nativity Story), เกร็ก มูราเดี้ยน (Drumline, The Stepfather), และ มาร์ค มอร์แกน (Agent Cody Banks, The Wedding Planner)
โดยยังมีทีมงานสร้างที่มากไปด้วยประสบการณ์อย่าง ผู้กำกับภาพ เอลเลียต เดวิส (Thirteen, Lords of Dogtown, Out of Sight), ผู้ตัดต่อภาพยนตร์ แนนซี่ ริชาร์ดสัน (Step Up, Thirteen, Lords of Dogtown), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เวนดี้ ชัค (Sideways), ผู้ประพันธ์เพลง คาร์เตอร์ เบอร์เวลล์ (Burn After Reading, No Country for Old Men) โดยภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการสร้างของ Submit Entertainment ซึ่งถูกถ่ายทำกันในเมืองพอร์ทแลนด์ รัฐโอเรก้อน
มันเป็นปรากฎการณ์ที่น่าเหลือเชื่อ เมื่อเหล่าสาวกทั่วทั้งโลกต่างรอคอยการดัดแปลงขึ้นสู่จอภาพยนตร์เป็นครั้งแรก โดยวรรณกรรมสี่เล่มจบของ สเตฟานี่ เมเยอร์ สามารถครองอันดับหนึ่งรวมกัน ใน New York Times ได้ถึง 91 สัปดาห์ โดยหนังสือขายได้ถึง 17 ล้านเล่ม และถูกซื้อลิขสิทธ์นำไปแปลเป็นภาษาอื่นอีกกว่า 37 ประเทศทั่วโลก โดยยังมีเว็ปไซค์ที่อุทิศให้กับหนังสืออีกกว่า 350 แห่ง ถูกเลือกให้เป็นหนึ่งในหนังสือยอดเยี่ยมของ New York Times และยังอยู่ในสิบอันดับแรกของหนังสือยอดเยี่ยมแห่งทศวรรษของ Amazon อีกด้วย
แนะนำนักแสดง
คริสเทน สจ๊วต (รับบทเป็น เบลล่า)
เราอาจจำเธอกันได้ จากการรับบทเป็นลูกสาวของ โจดี้ ฟอสเตอร์ ใน Panic Room ภาพยนตร์ทริลเลอร์เรื่องเยี่ยมของ เดวิด ฟินเชอร์ (David Fincher) โดย คริสติน สจ๊วต (Kristen Stewart) นักแสดงสาววัย 18 ปีคนนี้ ก็ยังมีผลงานคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็น Zathura: A Space Adventure ของผู้กำกับ Iron Man จอห์น ฟาฟโรว์ (John Favreau), The Messenger ของพี่น้อง แปง (Pang Brother) และ Into The Wide ของ ณอน เพนน์ (Sean Penn) จนในปี 2008 เธอก็ได้รับบทบาทที่สำคัญที่สุดบทหนึ่ง ในอาชีพนักแสดงของเธอ นั้นก็คือการเล่นเป็น เบลล่า สาวที่ตกหลุมรักแวมไพร์
ส่วนผลงานเรื่องอื่นๆของเธอนั้นก็ยังมี In The Land of Women, The Messengers, Speak, Fierce People, Catch That Kid, Undertow, Cold Creek Manor และ The Safety of Objects.
โรเบิร์ต แพททินสัน (รับบทเป็น เอ็ดเวิร์ด)
เมื่ออายุ 19 ปี เขาก็ได้รับเลือกให้เล่นเป็น เซดริค ดิคกอรี่ ในภาพยนตร์มหากาพย์พ่อมดเรื่อง Harry Potter & Goblet of Fire แต่ผลงานที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักกันมากกว่า สำหรับนักแสดงหนุ่มชาวอังกฤษคนนี้ ก็คือการรับบทนำในภาพยนตร์เรื่อง Twilight ที่เขาสามารถเอาชนะนักแสดงที่เข้ามาทดสอบบทถึง 5,000 คน
ก่อนหน้านี้เขายังมีผลงานอย่างเช่น How to Be ชองผู้กำกับ โอลิเวอร์ เออร์วิ่ง (Oliver Irving) ที่ได้รับรางวัล Special Honorable Mention for Narrative Feature ในเทศกาลหนัง Slamdance และยังมี Little Ashes ของผู้กำกับ พอล มอรริสัน (Paul Morrison) ที่เขาเล่นเป็นนักวากภาพชื่อก้อง ซัลวาดอร์ ดาลี
แคม จิแกนเด็ท (รับบทเป็น เจมส์)
เขาคือนักแสดงดาวรุ่งวัย 26 ปี ที่เราอาจจะรู้จักกันในบทตัวร้ายจากเรื่อง Never Back Down โดยเขากำลังจะมีผลงานที่จะฉายต้นปีหน้าอย่าง The Unborn ของผู้กำกับ เดวิด โกเยอร์ (David Goyer) ที่นำแสดงโดย แกรี่ โอลด์แมน (Gary Oldman) โดยเขาเพิ่งถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องล่าสุดเสร็จสิ้น นั้นก็คือ Pinkville ของ โอลิเวอร์ สโตน ที่นำแสดงโดย บรูซ วิลลิส (Bruce Willis), แชนนิ่ง เททัม (Channing Tatum) และ วู้ดดี้ ฮาเรลสัน (Woody Harrelson)
จิแกนเด็ท มีผลงานเรื่องอื่นๆเช่น Who's Your Caddy? และหนังอินดี้ทริลเลอร์เรื่อง Mistaken ส่วนผลงานด้านโทรทัศน์ ก็เขามีผลงานทีน่าจดจำอย่าง The O.C. ที่เขาแสดงเป็นคนร้าย
เทย์เลอร์ เลาท์เนอร์ (รับบทเป็น เจค๊อบ แบล็ค)
ผลงานที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักจากภาพยนตร์เรื่อง The Adventures of Sharkboy and Lavagirl 3-D ของผู้กำกับ โรเบิร์ต โรดริเกวซ (Robert Rodriguez) ก่อนที่จะมาแสดงในภาพยนตร์ครอบครัวเรื่อง Cheaper By The Dozen 2 ที่นำแสดงโดย สตีฟ มาร์ติน (Steve Martin)
ก่อนหน้านี้เขามีผลงานที่อยู่ในจอโทศทัศน์ ไม่ว่าจะเป็น My Wife and Kids Summerland, The Bernie Mac Show และ The Nick and Jessica Variety Hour โดยเขายังประสบความสำเร็จในการให้เสียงประกอบในอนิเมชั่นอย่าง Danny Phantom รวมถึง What's New Scooby-Doo? และ Charlie Brown อีกด้วย
หลังจากนั้นเขาก็มุ่งหน้าไปที่ ลอสแองเจลิสและได้ทำหน้าที่เป็นผู้สัมภาษณ์ดาราดังๆเช่นเช่น ฮิลลารี่ ดัฟฟ์ และ ราเวน ในรายการ Disney 411 และก็ยังได้เล่นเป็นบทรับเชิญในซีรี่ย์ดังๆเช่น Close To Home, The O.C., The War at Home และยังได้รับบทสมทบในภาพยนตร์เรื่อง Molding Clay หลังจากนั้นเขาก็ได้บทที่ใหญ่ขึ้นใน Pray for Morning ก่อนที่จะได้รับบทประจำในซีรี่ย์ยอดฮิตเรื่อง Beautiful People ที่ถ่ายทำในโตรอนโต้ โดยผลงานสองเรื่องล่าสุดคือบทสมทบในเรื่อง Big Stan และ Senior Skip Day
ผลงานเรื่องอื่นของเขาก็ยังมีที่แสดงร่วมกับ เอริค สโตวส์ (Eric Stoltz) และ เท็ด โดโนแวน (Tate Donovan) ในเรื่อง The Lather Effect ที่เปิดรอบปฐมทัศน์ในงาน LA Film Festival และแสดงนำร่วมกับ คริสเตียน สเลเตอร์ (Christian Slater) ใน Hollow Man 2 โดยเขายังแสดงนำเรื่อง Touch the Top of the World ที่เป็นเรื่องจริงของคนตาบอดที่ปีนขึ้นสู่ยอดเขาเอเวอร์เรตสำเร็จเป็นคนแรก
ผลงานเรื่องอื่นๆ ของเขาก็ยังมี Stealing Time ที่แสดงร่วมกับ อีธาน เอ็มบรี้ (Ethan Embry) และ สก๊อต โฟลี่ย์ (Scott Foley), The Scorpion King ที่นำแสดงโดย เดอะร็อค (The Rock), Riding in Cars with Boys ซึ่งเป็นผลงานการกำกับของ เพนนี่ มาร์แชล (Penny Marshall) ที่นำแสดงโดย ดรูว แบร์รี่มอร์ (Drew Barrymore) และบทที่เขาได้รับคำชมอย่างสูงจากเรื่อง The Big Kahuna ที่ร่วมแสดงโดย เควิน สเปซี่ย์ (Kevin Spacey) และ แดนนี่ เดอวิโต้ (Danny De Vito) โดยหนังเรื่องนี้ยังเปิดตัวใน Toronto และ Sundance Film Festivals
อลิซาเบ็ธ รีซเซอร์ (รับบทเป็น เอสเม่ คัลเลน)
รีซเซอร์ ถูกเสนอเข้าชิงรางวัล Independent Spirit ในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากเรื่อง Sweet Land และยังถูกเสนอเข้าชิงรางวัลเอมมี่และ SAG จากบทรับเชิญในซีรี่ย์ชื่อดังเรื่อง Grey's Anatomy
ผลงานเรื่องอื่นๆของเธอประกอบไปด้วย Puccini For Beginners ที่ถูกเลือกเข้าประกวดใน Sundance film festival และเปิดตัวใน Outfest Film Festival, Purple Violets ที่กำกับโดย เอ็ด เบิร์น (Ed Burns) และร่วมแสดงโดย เด็บบร้า เมสสิ่ง (Debra Messing), เซลม่า แบลร์ (Selma Blair) และ เอ็ด เบิร์น, The Family Stone, Stay ของผู้กำกับ มาร์ค ฟอสเตอร์ (Mark Foster), The Believer ที่แสดงคู่กับ ไรอัน กอสลิ่ง (Ryan Gosling), Mind the Gap, Shut up and Sing และ 13 Conversations About One Thing